Log in or Sign up
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
RacingWeb Community
>
Motorsport Forum
>
Formula 1
>
ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับรถ Formula 1
>
Reply to Thread
Name:
Verification:
Please enable JavaScript to continue.
Loading...
Message:
<p>[QUOTE="TUMKUNG_naraka, post: 769469, member: 31393"]<font size="4"><b>ความรู้เกี่ยวกับการแข่งขันเอฟวัน (Understanding the sport)</b></font></p><p><br /></p><p>หลายคนได้เปรียบเทียบรถแข่งเอฟวันว่ามีความคล้ายคลึงกับเครื่องบินขับไล่ในหลายๆด้าน ซึ่งหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำความสำเร็จมาสู่ทีมแข่งแต่ละทีม</p><p><br /></p><p>ในการนี้ทีมแข่งทุกทีมต้องลงทุนเป็นเม็ดเงินมหาศาลไปในการค้นคว้าวิจัย ตลอดจนพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของรถตลอดเวลา</p><p><br /></p><p>สำหรับทีมออกแบบนั้น ทีมวิศวกรจะคำนึงปัจจัย 2 ปัจจัยในการออกแบบนั่นก็คือ ทำยังไงให้รถวิ่งได้เร็วขึ้นอีก ส่วนอีกประการก็คือ สร้างค่าดาวน์ฟอร์ซให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม (ค่าดาวน์ฟอร์ซเยอะ จะช่วยกดหน้ารถขณะที่วิ่ง ทำให้เข้าโค้งได้ง่าย และ นุ่มนวลมากขึ้น) </p><p><br /></p><p>มีหลายทีมแข่งในยุคนี้ ที่หันกลับไปหาปีกติดรถที่เป็นรูปแบบที่ใช้กันในยุคปลายทศวรรษที่ 60 ปีก หรือ แพนหางที่อยู่รถแข่งเอฟวัน จะทำหน้าที่เหมือนกับปีก หรือ แพนหางของเครื่องบิน ต่างกันตรงที่เครื่องบินใช้ปีกในการพยุงตัวมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่รถแข่งเอฟวันใช้มันในการช่วยเพิ่มดาวน์ฟอร์ซแก่ตัวรถ โดยในปัจจุบันรถแข่งเอฟวันมีค่าดาวน์ฟอร์ซประมาณ 3.5 g (ประมาณ 3.5 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง)</p><p><br /></p><p>เคยมีการทดลองให้รถแข่งเอฟวันใช้ความเร็วเต็มที่โดยไม่ได้ใส่ปีกเข้ากับตัวรถ ปรากฏว่ารถไม่สามารถที่จะวิ่งได้เหมือนปกติ </p><p><br /></p><p>ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งกฏ และ กติกา ตลอดจนการพัฒนาชิ้นส่วนเช่นขนาดของปีก หรือ ตำแหน่งที่ติดตั้งปีก ทำให้ลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถแข่งเอฟวันไปได้มากเลยทีเดียว</p><p><br /></p><p>ในการแข่งขันแต่ละสนาม ทีมออกแบบก็จะต้องคิดค้น และ ปรับเปลี่ยนตัวรถให้เข้ากับสนามนั้นๆ อย่างเช่นในการแข่งขันที่ โมนาโก หรือ โมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งมีทางตรงไม่มาก และ มีโค้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปีกของรถจึงมี 2 ชั้นขึ้นไป (ในปี 2004 เพิ่งจะมีการแก้กฏให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ชั้น) แต่ขณะที่สนามซึ่งมีทางตรงยาวๆอย่าง มอนซ่า ในอิตาลี รถของทุกทีมจะพยายามใช้ปีกแบบชั้นเดียว หรือ ลดให้มีชั้นน้อยที่สุด เพื่อต้องการทำความเร็วสูงสุดบนทางตรง และ ลดแรงเฉื่อยให้มากที่สุดนั่นเอง</p><p><br /></p><p>ไม่นานมานี้ ทีมแข่งหลายๆทีม เริ่มจะเลียนแบบ เฟอร์รารี่ ในเรื่องการออกแบบบริเวณท้ายของตัวรถให้แคบ และ ต่ำที่สุดที่จะเป็นได้ เพราะมันสามารถลดแรงเฉื่อยได้มหาศาล </p><p><br /></p><p>เบรก (Brakes)</p><p><br /></p><p>แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของเทคโนโลยี แต่กติกาของรถแข่งเอฟวัน กลับไม่อนุญาตให้ติดตั้งระบบเบรกแบบกันเบรกล็อก หรือ ABS ได้ โดยเพิ่งจะมีการแบนไม่ใช้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง</p><p><br /></p><p>แม้ไม่ใช่ ABS ทว่ารถแข่งเอฟวัน ก็ใช้เทคโนโลยีในอุปกรณ์อื่นๆมาชดเชย โดยในการทดลองอันหนึ่งมีการนำรถเอฟวันที่วิ่งด้วยความเร็วกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้ความเร็ว และ หยุดในทันที ปรากฏว่าสามารถที่จะหยุดรถนี้ได้แบบสนิทในระยะทางที่สั้นกว่ารถนั่งโดยสารทั่วๆไป ที่ทำความเร็วที่ระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียอีก</p><p><br /></p><p>ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง (Cockpit/safety)</p><p><br /></p><p>ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง ถือเป็นหัวใจของรถแข่งเอฟวันยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง เราจะเห็นได้ว่าแม้จะประสบอุบัติเหตุหนักๆ แต่นักแข่งยุคนี้มักจะไม่เป็นอะไรมากนัก ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ FIA </p><p><br /></p><p>รถแข่งเอฟวัน ก็ไม่ต่างจากรถบ้านทั่วๆไป ที่จะต้องมีการทดสอบการชนเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัย ก่อนที่รถจะนำไปใช้แข่ง ซึ่งในการทดสอบนั้นจะใช้ความเร็วเหมือนในสนามแข่งจริงเลย เพื่อจะดูความสามารถของรถว่าสามารถรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน </p><p><br /></p><p>โค้ง หรือ มุม (Cornering)</p><p><br /></p><p>โค้ง หรือ มุม ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการแข่งรถ การแข่งเอฟวันก็เช่นเดียวกัน การขับเคี่ยวกันบนทางตรงดูเหมือนจะเป็นการตัดสินกันที่รถคันใดมีพลังเครื่องยนต์ที่มหาศาล หรือ มีระบบเบรกที่เหนียวหนึบกว่ากัน แต่เมื่อเข้าโค้ง ทักษะ และ ฝีมือในการบังคับรถของนักแข่งจะดูเด่นชัดขึ้นทันที ผลแพ้ชนะของการแข่งขันบางครั้งอาจจะตัดสินกันที่โค้งเลยด้วยซ้ำ</p><p><br /></p><p>อาการของรถที่เรียกว่า โอเวอร์สเตียร์ (oversteer) หรือ อันเดอร์สเตียร์ (understeer) คืออาการที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ขณะที่รถเข้าโค้ง จำง่ายๆก็คือ โอเวอร์สเตียร์ คือ อาการที่ด้านท้ายของรถเกิดการปัด และ พยายามจะแซงขึ้นหน้า ขณะที่ด้านหน้ารถกำลังเข้าโค้งอยู่ ส่วน อันเดอร์สเตียร์ ก็คือ การที่รถเข้าโค้งผ่านไปได้โดยที่รถเหมือนจะหนีจากศูนย์กลางออกไป </p><p><br /></p><p>อาการอันเดอร์สเตียร์ ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เพราะเมื่อรถลดระดับความเร็วลงจากเดิม อาการที่ว่านี้ก็จะหายไป หรือ ไม่ปรากฏ และรถในปัจจุบันนี้ก็สามารถกำหนดได้ว่าจะให้ค่าของการอันเดอร์สเตียร์อยู่ที่ลิมิตเท่าไหร่ ขณะที่ โอเวอร์สเตียร์ ดูจะควบคุมได้ยากกว่า อันเดอร์สเตียร์</p><p><br /></p><p>อย่างไรก็ดีหากเป็นนักแข่งที่มีความชำนาญมากๆ นักแข่งเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์จากการ โอเวอร์สเตียร์ ได้เช่นกัน เมื่อสามารถจะทำความเร็วก่อนเข้าโค้งได้เพิ่มขึ้น </p><p><br /></p><p>ปกติแล้วสเต็ปขณะที่รถแข่งเข้าโค้งนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกันประกอบด้วย turn-in, apex และ exit[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="TUMKUNG_naraka, post: 769469, member: 31393"][SIZE="4"][B]ความรู้เกี่ยวกับการแข่งขันเอฟวัน (Understanding the sport)[/B][/SIZE] หลายคนได้เปรียบเทียบรถแข่งเอฟวันว่ามีความคล้ายคลึงกับเครื่องบินขับไล่ในหลายๆด้าน ซึ่งหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำความสำเร็จมาสู่ทีมแข่งแต่ละทีม ในการนี้ทีมแข่งทุกทีมต้องลงทุนเป็นเม็ดเงินมหาศาลไปในการค้นคว้าวิจัย ตลอดจนพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของรถตลอดเวลา สำหรับทีมออกแบบนั้น ทีมวิศวกรจะคำนึงปัจจัย 2 ปัจจัยในการออกแบบนั่นก็คือ ทำยังไงให้รถวิ่งได้เร็วขึ้นอีก ส่วนอีกประการก็คือ สร้างค่าดาวน์ฟอร์ซให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม (ค่าดาวน์ฟอร์ซเยอะ จะช่วยกดหน้ารถขณะที่วิ่ง ทำให้เข้าโค้งได้ง่าย และ นุ่มนวลมากขึ้น) มีหลายทีมแข่งในยุคนี้ ที่หันกลับไปหาปีกติดรถที่เป็นรูปแบบที่ใช้กันในยุคปลายทศวรรษที่ 60 ปีก หรือ แพนหางที่อยู่รถแข่งเอฟวัน จะทำหน้าที่เหมือนกับปีก หรือ แพนหางของเครื่องบิน ต่างกันตรงที่เครื่องบินใช้ปีกในการพยุงตัวมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่รถแข่งเอฟวันใช้มันในการช่วยเพิ่มดาวน์ฟอร์ซแก่ตัวรถ โดยในปัจจุบันรถแข่งเอฟวันมีค่าดาวน์ฟอร์ซประมาณ 3.5 g (ประมาณ 3.5 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง) เคยมีการทดลองให้รถแข่งเอฟวันใช้ความเร็วเต็มที่โดยไม่ได้ใส่ปีกเข้ากับตัวรถ ปรากฏว่ารถไม่สามารถที่จะวิ่งได้เหมือนปกติ ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งกฏ และ กติกา ตลอดจนการพัฒนาชิ้นส่วนเช่นขนาดของปีก หรือ ตำแหน่งที่ติดตั้งปีก ทำให้ลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถแข่งเอฟวันไปได้มากเลยทีเดียว ในการแข่งขันแต่ละสนาม ทีมออกแบบก็จะต้องคิดค้น และ ปรับเปลี่ยนตัวรถให้เข้ากับสนามนั้นๆ อย่างเช่นในการแข่งขันที่ โมนาโก หรือ โมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งมีทางตรงไม่มาก และ มีโค้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปีกของรถจึงมี 2 ชั้นขึ้นไป (ในปี 2004 เพิ่งจะมีการแก้กฏให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ชั้น) แต่ขณะที่สนามซึ่งมีทางตรงยาวๆอย่าง มอนซ่า ในอิตาลี รถของทุกทีมจะพยายามใช้ปีกแบบชั้นเดียว หรือ ลดให้มีชั้นน้อยที่สุด เพื่อต้องการทำความเร็วสูงสุดบนทางตรง และ ลดแรงเฉื่อยให้มากที่สุดนั่นเอง ไม่นานมานี้ ทีมแข่งหลายๆทีม เริ่มจะเลียนแบบ เฟอร์รารี่ ในเรื่องการออกแบบบริเวณท้ายของตัวรถให้แคบ และ ต่ำที่สุดที่จะเป็นได้ เพราะมันสามารถลดแรงเฉื่อยได้มหาศาล เบรก (Brakes) แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของเทคโนโลยี แต่กติกาของรถแข่งเอฟวัน กลับไม่อนุญาตให้ติดตั้งระบบเบรกแบบกันเบรกล็อก หรือ ABS ได้ โดยเพิ่งจะมีการแบนไม่ใช้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง แม้ไม่ใช่ ABS ทว่ารถแข่งเอฟวัน ก็ใช้เทคโนโลยีในอุปกรณ์อื่นๆมาชดเชย โดยในการทดลองอันหนึ่งมีการนำรถเอฟวันที่วิ่งด้วยความเร็วกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้ความเร็ว และ หยุดในทันที ปรากฏว่าสามารถที่จะหยุดรถนี้ได้แบบสนิทในระยะทางที่สั้นกว่ารถนั่งโดยสารทั่วๆไป ที่ทำความเร็วที่ระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียอีก ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง (Cockpit/safety) ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง ถือเป็นหัวใจของรถแข่งเอฟวันยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง เราจะเห็นได้ว่าแม้จะประสบอุบัติเหตุหนักๆ แต่นักแข่งยุคนี้มักจะไม่เป็นอะไรมากนัก ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ FIA รถแข่งเอฟวัน ก็ไม่ต่างจากรถบ้านทั่วๆไป ที่จะต้องมีการทดสอบการชนเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัย ก่อนที่รถจะนำไปใช้แข่ง ซึ่งในการทดสอบนั้นจะใช้ความเร็วเหมือนในสนามแข่งจริงเลย เพื่อจะดูความสามารถของรถว่าสามารถรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน โค้ง หรือ มุม (Cornering) โค้ง หรือ มุม ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการแข่งรถ การแข่งเอฟวันก็เช่นเดียวกัน การขับเคี่ยวกันบนทางตรงดูเหมือนจะเป็นการตัดสินกันที่รถคันใดมีพลังเครื่องยนต์ที่มหาศาล หรือ มีระบบเบรกที่เหนียวหนึบกว่ากัน แต่เมื่อเข้าโค้ง ทักษะ และ ฝีมือในการบังคับรถของนักแข่งจะดูเด่นชัดขึ้นทันที ผลแพ้ชนะของการแข่งขันบางครั้งอาจจะตัดสินกันที่โค้งเลยด้วยซ้ำ อาการของรถที่เรียกว่า โอเวอร์สเตียร์ (oversteer) หรือ อันเดอร์สเตียร์ (understeer) คืออาการที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ขณะที่รถเข้าโค้ง จำง่ายๆก็คือ โอเวอร์สเตียร์ คือ อาการที่ด้านท้ายของรถเกิดการปัด และ พยายามจะแซงขึ้นหน้า ขณะที่ด้านหน้ารถกำลังเข้าโค้งอยู่ ส่วน อันเดอร์สเตียร์ ก็คือ การที่รถเข้าโค้งผ่านไปได้โดยที่รถเหมือนจะหนีจากศูนย์กลางออกไป อาการอันเดอร์สเตียร์ ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เพราะเมื่อรถลดระดับความเร็วลงจากเดิม อาการที่ว่านี้ก็จะหายไป หรือ ไม่ปรากฏ และรถในปัจจุบันนี้ก็สามารถกำหนดได้ว่าจะให้ค่าของการอันเดอร์สเตียร์อยู่ที่ลิมิตเท่าไหร่ ขณะที่ โอเวอร์สเตียร์ ดูจะควบคุมได้ยากกว่า อันเดอร์สเตียร์ อย่างไรก็ดีหากเป็นนักแข่งที่มีความชำนาญมากๆ นักแข่งเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์จากการ โอเวอร์สเตียร์ ได้เช่นกัน เมื่อสามารถจะทำความเร็วก่อนเข้าโค้งได้เพิ่มขึ้น ปกติแล้วสเต็ปขณะที่รถแข่งเข้าโค้งนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกันประกอบด้วย turn-in, apex และ exit[/QUOTE]
Log in with Facebook
Log in with Twitter
Log in with Google
Your name or email address:
Do you already have an account?
No, create an account now.
Yes, my password is:
Forgot your password?
Stay logged in
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
RacingWeb Community
>
Motorsport Forum
>
Formula 1
>
ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับรถ Formula 1
>
Home
Home
Quick Links
Recent Posts
Recent Activity
Authors
Forums
Forums
Quick Links
Search Forums
Recent Posts
Classifieds
Classifieds
Quick Links
Search Classifieds
Recent Activity
Top Rated Traders
Media
Media
Quick Links
Search Media
New Media
Members
Members
Quick Links
Notable Members
Registered Members
Current Visitors
Recent Activity
New Profile Posts
Menu
Search titles only
Posted by Member:
Separate names with a comma.
Newer Than:
Search this thread only
Search this forum only
Display results as threads
Useful Searches
Recent Posts
More...